วิธีอ่าน Datasheet ของแผงโซลาร์เบื้องต้น | คู่มือเลือกแผงโซลาร์เซลล์
- KLANG SOLAR

- Aug 21
- 1 min read
Updated: Aug 22
Datasheet ของแผงโซล่าร์ หรือเอกสารสเปคสินค้า เป็นเอกสารที่ผู้ผลิตทุกเจ้าจะต้องให้มาพร้อมกับแผง เพื่อบอกคุณสมบัติทางเทคนิคต่างๆ เช่น กำลังไฟสูงสุด, ประสิทธิภาพ, ค่าแรงดัน/กระแส ไปจนถึงอายุการใช้งานและการรับประกัน
แต่ปัญหาคือ…พอเปิดดูแล้วเต็มไปด้วยคำที่ไม่คุ้นเคย อ่านแล้วงงเหมือนเป็นภาษาต่างดาว
บทความนี้จะพาคุณเข้าใจ Datasheet โดยเน้นเฉพาะค่าที่ สำคัญและเข้าใจง่าย เพื่อให้สามารถเลือกแผงโซล่าร์ได้มั่นใจมากขึ้น

1. เริ่มจากข้อมูลที่คนทั่วไปควรรู้ วิธีอ่าน Datasheet ของแผงโซลาร์
เวลาจะซื้อแผงโซล่าร์ สิ่งแรกที่ควรโฟกัสคือ กำลังไฟและประสิทธิภาพของแผง
กำลังไฟสูงสุด (Maximum Power / Pmax)ยิ่งค่าสูง ก็ยิ่งผลิตไฟได้มาก (ปัจจุบันค่าจะอยู่ที่ประมาณ 500 - 600 W)ในบางที่จะลงข้อมูลไว้เป็นซีรีย์ซึ่งจะมีหลายค่ากำลังไฟ (ในรูปแบบตาราง) …อย่าเพิ่งตกใจไป ให้หาคำนี้ที่มักอยู่บนสุดของตาราง เลือกคอลัมน์ที่ต้องการ และจดชื่อรุ่นไว้ได้เลย
ประสิทธิภาพของแผง (Efficiency %)ยิ่งค่าสูง ก็ยิ่งผลิตไฟได้ดีค่านี้มักมาพร้อมกับค่าที่แสดงถึงการเสื่อมสภาพเมื่อใช้งานไปเรื่อย ๆ โดยจะบอกเป็น %การทำงานที่ลดต่อปี (Annual Degradation) หรือไม่ก็จะบอกว่าในแต่ละปีจะมีค่าประสิทธิภาพเหลือเท่าไร(คนละค่ากับ Cell/Module Efficiency ค่าดังกล่าวจะเป็นการบอกว่าแปลงพลังงานจากแสงเป็นไฟฟ้าได้เท่าไร ซึ่งปกติค่านี้จะค่อนข้างไกลตัว)
* สิ่งควรรู้: ส่วนใหญ่ Datasheet มักจะให้มา 2 ตาราง โดยจะมีหัวข้อที่มีคำว่า STC กับ NOTC ซึ่งเป็นค่าที่วัดในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน โดยปกติเราจะดูที่ตาราง STC เป็นหลักมากกว่า

2. ค่าทางไฟฟ้าที่ต้องเข้าใจเบื้องต้น
ตรงนี้อาจดูเป็นเทคนิค แต่ถ้ารู้ไว้ก็จะช่วยเวลาเลือกอินเวอร์เตอร์และอุปกรณ์อื่นๆ
Voc (Voltage at Open Circuit)คือ “แรงดันไฟฟ้าสูงสุด” ที่แผงปล่อยออกมาเมื่อยังไม่ต่อโหลด (สูงสุดที่เป็นไปได้)
Isc (Current at Short Circuit)คือ “กระแสไฟสูงสุด” ที่แผงสามารถจ่ายได้เมื่อช็อตวงจร (สูงสุดที่เป็นไปได้)
Vmp และ Impคือค่าแรงดัน (V) และกระแส (A) ที่แผงทำงานได้ดีที่สุด หรือจุดที่ผลิตไฟฟ้าออกมาได้สูงสุด (Maximum Power)
ถ้าให้เปรียบง่ายๆ:
Voc/Isc = ค่าสูงสุดบนกระดาษ
Vmp/Imp = ค่าที่ใช้จริงในการทำงาน

3. ดูความทนทานของแผง
วิธีอ่าน Datasheet ของแผงโซลาร์ ที่ต้องอยู่กลางแดดร้อน ๆ ทุกวัน ดังนั้นค่าที่บอก “ความทน” จึงสำคัญมาก
Operating Temperatureบอกช่วงอุณหภูมิที่แผงทำงานได้ (ปกติอยู่ช่วง -40 - 85°C)สำหรับประเทศไทย ค่าอุณหภูมิบนหลังคาจะอยู่ในช่วง 50 - 70°C)
Temperature Coefficient (อัตราการสูญเสียเมื่อร้อนขึ้น)ตัวเลขนี้จะบอกว่าเมื่ออุณหภูมิแผงสูงขึ้น 1°C กำลังไฟจะลดลงกี่% ดังนั้นยิ่งเป็น “ค่าลบที่น้อย” แผงจะยิ่งทำงานภายใต้อากาศร้อนได้ดีกว่า

4. อายุการใช้งานและการรับประกัน
จุดนี้เป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม แต่มีผลต่อความคุ้มค่าในระยะยาว
Performance Warrantyเป็นการบอกว่าเมื่อใช้ไปจนครบเวลาแล้ว ประสิทธิภาพแผงจะยังอยู่ที่ประมาณ 80–85%(ส่วนใหญ่จะรับประกัน 25 ปี)ส่วนนี้โดยปกติแล้วจะไม่สามารถเคลมกับทางผู้ผลิต/ผู้ขายได้
Product Warrantyเป็นการรับประกันตัวสินค้า หากแผงเสียหายจากการผลิต (ส่วนใหญ่จะรับประกัน 10 - 12 ปี)ส่วนนี้จะสามารถเคลมได้
💡 เวลาเลือก ให้ดูทั้ง Performance Warranty และ Product Warranty เพราะบางยี่ห้ออาจให้ Performance นาน แต่ Product สั้น

5. ข้อมูลกายภาพของแผง
ตรงนี้ดูเผินๆ เหมือนไม่สำคัญ แต่จริงๆ ช่วยได้เยอะเวลาจะติดตั้ง
ขนาด (Dimensions)ดูว่าพอดีกับพื้นที่หลังคาหรือไม่
น้ำหนัก (Weight)สำคัญสำหรับหลังคาที่รับน้ำหนักได้จำกัด
ความยาวสายที่ให้ (Cable Length)เพื่อจะดูว่าเราสามารถวางแผงได้ห่างเท่าไร โดยไม่ต้องใช้การต่อสายเพิ่ม

สรุป: อ่าน Spec Sheet ให้เข้าใจใน 5 นาที
จริงๆ แล้วการอ่าน Spec Sheet ไม่ได้ยากอย่างที่คิด แค่โฟกัสไปที่ 5 จุดหลักๆ
Pmax & Efficiency → บอกกำลังและความคุ้มค่าของแผง
Voc / Isc / Vmp / Imp → ใช้คำนวณเวลาออกแบบระบบ
Operating Temperature & Temperature Coefficient → ดูว่าแผงทนแดดร้อนได้ดีหรือไม่
Warranty (Performance & Product) → คุ้มค่าระยะยาวหรือไม่
Physical Data → ขนาด น้ำหนัก ความยาวสาย
เมื่อเข้าใจแล้ว เวลาเลือกซื้อแผงสามารถดูเอกสารเองแล้วตัดสินใจได้เลยว่าคุ้มค่าหรือไม่
👉 ถ้าต้องการคำแนะนำการเลือกแผงโซลาร์เซลล์ที่เหมาะกับบ้านหรือโรงงานของคุณไปที่ คลังโซล่าร์




Comments